วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ทฤษฎีต้นทุนธุรกรรม (Transaction cost Theory) และ ทฤษฎีต้นทุนตัวแทน ( Agency Theory)




 


ทฤษฎีต้นทุนธุรกรรม (Transaction cost Theory)


            ค่าใช้จ่ายหลักๆอันเนื่องมาจากการทำธุรกรรม (Transaction) เช่น การค้นหาข้อมูล(customers, suppliers, products) การติดต่อสื่อสาร หรือการนำข้อมูลมาเปรียบเทียบเพื่อตัดสิน
ใจ โดยในอดีต ทั้งนี้องค์กรขนาดเล็กมักจะเสียเปรียบในเรื่องการเข้าถึงข้อมูลเนื่องจากมีจำนวนพนักงานน้อย หากต้องการพัฒนาศักยภาพการเข้าถึงข้อมูล จำเป็นต้องขยายขนาดขององค์กร แต่ในปัจจุบัน เทคโนโลยีจาก internet ทำให้องค์กรขนาดเล็กมีศักยภาพการเข้าถึงข้อมูลมากขึ้นโดยไม่มีความจำเป็นต้องขยายขนาดองค์กร และสามารถลด Transaction Cost ได้

บทความ


ทฤษฎีต้นทุนธุรกรรม


                                                                เวลาเป็นเงินเป็นทอง

คำว่า Transaction Cost เป็นศัพท์ทางเศรษฐศาสตร์, เป็นส่วนหนึ่งของ Theory of the Firm

โดยRonald Coase พูดถึงต้นทุนที่เกิดจากการติดต่อระหว่างคนสองคน


 (อาจเป็นคนซื้อ-คนขาย, หรือภายในติดต่อกันเอง)
ต้นทุนที่ว่าเกิดจากกิจกรรมใดๆก็ตามที่ กินเวลาเช่นตัวอย่าง Transaction Cost ของ


ฝ่ายจัดซื้อกรณีที่หา Supplier เสื้อโปโล
  • ต้นทุนจากขั้นตอนการหา (ใช้เวลากี่วัน???)
  • ต้นทุนจากขั้นตอนการเจรจาแต่ละเจ้า
  • ต้นทุนจากการประมวลผลราคา
  • ต้นทุนจากการทำของตัวอย่าง..เช่น เลือกแบบ, เลือกผ้า, เลือกสี, ฯลฯ
  • ต้นทุนจากการติดต่อตามงาน..เช่น ส่งวันไหน? มากี่โมง?
  • ต้นทุนที่เกิดจากการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า..เช่น ของมาไม่ครบ, ชำรุดเสียหาย, ฯลฯ
  • ฯลฯ
กลับมามองที่ Supplier …เจ้าไหนที่เข้าใจ, และลดต้นทุนที่ว่าทั้งหมดได้มากที่สุดจะมีโอกาสอยู่รอดในธุรกิจมากที่สุด เช่น
โรงงานเย็บเสื้อ ก, อ่านบทความนี้ปุ้ปกลับไปคิดหาวิธีทำงานมาใหม่เพื่อลดต้นทุนส่วนนี้ให้ลูกค้าโดยเฉพาะ
  • ทำเวป..ลดเวลาในการค้นหา
  • คิดโครงสร้างราคาสำเร็จรูปลดเวลาในการรอราคา
  • ตั้งทีมทำสินค้าตัวอย่าง..ไม่ต้องรอแทรกช่างในสายงานผลิต..ลดเวลาในการรอของตัวอย่าง/แก้ไข
  • กำหนดวันส่งที่แน่นอน..แจ้งให้ทราบล่วงหน้าโดยไม่ต้องรอให้ถาม
  • ควบคุมคุณภาพเพื่อให้เกิดของเสียน้อยที่สุด


                        ทฤษฎีตัวแทน (Agency Theory)



       ทฤษฎีตัวแทนมองว่า มนุษย์ทุกคนในองค์กรย่อมมีแรงผลักดันที่จะทำเพื่อผลประโยชน์

 ส่วนตัวด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้นผู้บริหารหรือฝ่ายจัดการจะพยายามหาหนทางสร้างมูลค่าสูงสุดให้

กับกิจการก็ต่อเมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าหนทางนั้นเอื้ออำนวยประโยชน์ให้กับตนเองด้วย สมมติฐาน

ที่อยู่เบื้องหลังทฤษฎีการเป็นตัวแทนก็คือ ผู้เป็นเจ้าของกิจการหรือผู้ถือหุ้นกับผู้บริหารหรือ

ฝ่ายจัดการต่างมีความขัดแย้งทางด้านผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน โดยที่ผู้บริหารหรือฝ่ายจัดการ

จะสร้างอรรถประโยชน์สูงสุดให้กับตัวเองโดยไม่คำนึงถึงว่าการกระทำเช่นนั้นจะก่อให้เกิด

ประโยชน์หรือความมั่งคั่งสูงสุดแก่ตัวผู้เป็นเจ้าของกิจการหรือไม่

ความสัมพันธ์ในทางธุรกิจเป็นความสัมพันธ์ที่เกิดจากความยินยอมพร้อมใจระหว่างบุคคล

สองฝ่าย โดยที่บุคคลฝ่ายหนึ่งคือ ตัวแทน (Agent) ตกลงที่จะทำการในฐานะที่เป็นตัวแทนให้กับ

อีกฝ่ายหนึ่งที่เรียกว่า ตัวการ (Principal) โดยที่แต่ละฝ่ายย่อมมีแรงจูงใจที่จะตัดสินใจที่จะก่อให้เกิด

ผลประโยชน์ส่วนตัว ความขัดแย้งกันในผลประโยชน์อาจเกิดขึ้นเมื่อแต่ละฝ่ายดำเนินการเพื่อ

แสวงหาผลประโยชน์ให้แก่ตนเองกล่าวคือ ผู้ถือหุ้นเป็นผู้มอบหมายให้ผู้บริหารดำเนินการแทนตน

การที่ผู้ถือหุ้นไม่สามารถล่วงรู้ข้อมูลการตัดสินใจของผู้บริหารย่อมทำให้เกิดต้นทุนจาก

การมอบอำนาจดำเนินการขึ้น (Agency Costs) ซึ่งประกอบด้วยต้นทุนในการตรวจสอบ

ผลการปฏิบัติงานของผู้บริหาร และต้นทุนในการจูงใจให้ผู้บริหารตัดสินใจดำเนินการที่ไม่

ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ถือหุ้น 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น